วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ความหมายและประวัติของโหราศาสตร์
คำว่า “โหรา” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “โหราตร์” แปลว่า “วันกับคืน” หรือ “๑ วัน” โหราศาสตร์จึงแปลว่าวิชาที่ว่าด้วยโมงยาม โดยเป็นการศึกษาจากดาว,ธาตุและโลก เป็นวิชาที่มีหลักเกณฑ์การคำนวณและกระแสธาตุหรือกำลังของดวงดาว อิทธิพลของดวงดาวที่มีต่อโลกล้วนมีผลกระทบต่อสิ่งที่มีชีวิตบนโลกโดยเฉพาะพฤติกรรมของมนุษย์ โหราศาสตร์เป็นวิชาที่มีฐานของสถิติและมีดวงดาวเป็นจุดอ้างอิง จึงมีเหตุมีผล,มีหลักมีฐาน,มีที่มาที่ไปเป็นเครื่องยืนยันรับรอง แต่ความแม่นยำก็ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยด้วยความสามารถและประสบการณ์ของผู้ทำนายเป็นสำคัญ โหราศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงของดวงดาว ที่มาสัมพันธ์กับเหตุการณ์บนโลกและมนุษย์เรา เป็นการตีความหมาย,วิเคราะห์,คิดคำนวณ ให้สามารถบรรยายเหตุการณ์ต่างๆด้วยดวงดาวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ทำนายเหตุการณ์หรือใช้ประกอบการตัดสินใจในเหตุการณ์ของปัจจุบันและอนาคต วิชาโหราศาสตร์ใช้ในการพินิจพิเคราะห์ในสามช่วงเวลา คือ อดีต ปัจจุบันและอนาคต และความแม่นยำก็ขึ้นอยู่กับผู้ทำนายนั้นจะเข้าใจวิธีการอ่านดวงดาวในชะตาได้ละเอียดลึกซึ้งแค่ไหน ถ้าการทำนายเป็นไปตามหลักวิชาที่ถูกต้อง แต่ยังมีข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนก็อาจเกิดด้วยเหตุดังนี้คือ ๑. เวลาตกฟากไม่แน่นอน ๒. ผูกดวงผิด ๓. ได้ข้อมูลผิดจากผู้รับคำทำนายหรือไม่บอกทุกสิ่งตามจริง ๔. กรรมปัจจุบันมาถึง วิชาโหราศาสตร์นั้นคาดการณ์กันว่ามีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล ผู้ที่เรียนรู้วิชาโหรา ศาสตร์พวกแรกคือดาบสหรือฤๅษี การสืบทอดก็เป็นการสอนโดยมุขปาฐะต่อๆกันมาโดยยึดฐานความรู้ที่ว่าดวงดาวทุกดวงคือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู พระเกตุและดาวอื่นๆโคจรรอบโลก หลักฐานแรกๆในการพยากรณ์ด้วยโหราศาสตร์ที่พวกเราทุกคนล้วนเคยได้ยินหรือได้เรียนกันมาตั้งแต่เด็กคือ เมื่อครั้งที่องค์สมเด็จ พระสัมมาพระพุทธเจ้าเพิ่งประสูติมีพระชนม์ได้ ๗ วัน มีเหล่าพราหมณ์มาเข้าเฝ้าเพื่อชื่นชมพระบารมี ซึ่งเหล่าพราหมณ์ได้ถวายคำทำนายแบ่งรับแบ่งสู้เป็น ๒ ประการ คือ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก หรือถ้าครองราชย์สมบัติจะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิ แต่หนึ่งในเหล่าพราหมณ์นั้นคือท่านโกณฑัญญะได้ถวายคำพยากรณ์ที่ชัดเจนเพียงข้อเดียวคือ เจ้าชายจะไม่ครองราชย์สมบัติและจะเสด็จออกผนวชจนเป็นศาสดาเอกอย่างแน่นอน ปรากฏว่าคำพยากรณ์ของพราหมณ์หนุ่มโกณฑัญญะเป็นคำพยากรณ์ที่แม่นยำตรงความเป็นจริงที่สุด จึงได้ยกย่องท่านโกณฑัญญะเป็นหนึ่งในห้าของครูโหรที่ผู้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์หรือผู้ที่ใช้วิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาชีพสมควรต้องกราบไหว้และรำลึกถึง โหราศาสตร์เริ่มเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ก็มีหลักฐานพอยืนยันได้ว่าเมื่อประมาณพ.ศ. ๒๐๐ ปีเศษ(สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช) มีพราหมณ์ที่ได้เดินทางจากชมพูทวีปผ่านเข้าสู่ประเทศจีน แล้วก็มีบางคนที่เดินทางผ่านเลยมาตั้งถิ่นฐานในสยามประเทศ เคยมีการค้นพบหลักฐานจากเครื่องใช้ดินเผาสมัยบ้านเชียงก็มีรูปจักราศีประทับอยู่ และในสมัยกรุงสุโขทัยก็มีพงศาวดารบันทึกเอาไว้เกี่ยวกับการผูกดวงชะตา รวมถึงเริ่มมีการยกย่องพราหมณ์ที่เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ขึ้นเป็นมหาราชครู เพื่อให้ประกอบพิธีการมงคลต่างๆ และก็มีการสืบต่อกันมาอีกหลายราชอาณาจักร ครั้งเมื่อสิ้นยุคแห่งกรุงศรีอยุธยาตำราสำคัญต่างๆล้วนถูกเผาทำลาย ซึ่งก็รวมถึงตำราโหราศาสตร์เก่าแก่ก็ถูกทำลายไปด้วย เหล่าโหราจารย์ในราชสำนักที่เคยรับใช้ตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ จึงได้รวบรวมความรู้มาคัดลอกเป็นตำราขึ้นใหม่เพื่อไว้ศึกษาและไว้ใช้ในราชสำนัก ที่เป็นกรมโหรหลวงขึ้นตรงกับกระทรวงวัง ในส่วนของชาวบ้านธรรมดาจะไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาหรือได้รับการถ่ายทอดวิชาโหราศาสตร์นั้นเลย เพราะวิชาโหราศาสตร์เป็นสิ่งต้องห้าม ชาวบ้านชาวช่องผู้คนธรรมดาจะศึกษากันได้ก็แต่ระบบทักษาเท่านั้น ครั้นเมื่อถึงยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เปิดหอพระสมุดแห่งชาติฯ และเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ มีการยุบกรมโหรหลวงเป็นกองโหรหลวงเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ต่อมาในสมัยรัชการที่ ๗ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง กองโหรหลวงถูกลดความสำคัญลงเหลือเป็นเพียงแผนกที่ขึ้นกับสำนักพระราชวัง เมื่อเหล่าโหรในราชสำนักได้ถูกลดความสำคัญ และมีการถ่ายเทเหล่าโหราจารย์บางส่วนออกจากราชการ จึงได้มีการนำความรู้ด้านวิชาโหราศาสตร์ออกมาเผยแพร่ ประกอบกับมีการรวบ รวมคัมภีร์และตำราโหราศาสตร์มาเก็บไว้ในหอสมุดฯ รวมถึงผู้ที่เคยครอบครองตำราบางเล่มก็มีการนำมามอบให้เป็นสมบัติแก่หอสมุดฯ และทางหอสมุดฯก็เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามายืมอ่านและคัดลอกตำรับตำราได้อย่างเสรี วิชาโหราศาสตร์ที่เคยมีศึกษาเฉพาะกลุ่มโหราจารย์ในราชสำนัก ก็เริ่มมีการเผยแผ่ออกสู่ประชาชนทั่วไปตั้งแต่บัดนั้นจนถึงทุกวันนี้ ผู้ศึกษาโหราศาสตร์ไม่ว่าแขนงใดล้วนก็ต้องไหว้ครู เพราะท่านเหล่านี้ได้ถ่ายทอดวิชาโหราศาสตร์ตั้งแต่อดีตสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อเวลาพยากรณ์ดวงชาตาจะทำให้ก็จะเกิดญาณสังหรณ์ให้อ่านความหมายของดวงดาวได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นก่อนจะเริ่มเรียนวิชาโหรา ศาสตร์และก่อนที่จะทำการทำนายจึงนิยมบูชาครูก่อนเสมอ ครูก็คือรูปปั้นพระฤๅษีหรือดาบสและพระโหราจารย์ทั้ง ๕ ท่านคือ ๑. พระอัญญาโกณฑัญญะมหาเถระ ๒. พระวังคีสะมหาเถระ ๓. พระอุตมะรามะมหาเถระ ๔. พระอุทุมพรมหาเถระ ๕. พระอุตมะมังคลาจารย์มหาเถระ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น